ส่งต่อให้เพื่อน |
วัดพระนอนแหลมพ้อ จังหวัดสงขลา อำเภอเมือง วัดพระนอนแหลมพ้อถือได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่สร้างตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2330 หรือประมาณในสมัยรัชกาลที่ 3 |
|||||||||||||||
หากใครได้มาเที่ยวเกาะยอแล้ววัดนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของคุณ เราคิดว่า...คุณคงมีอาการเหม่อลอยมากจนเกินไป หรือไม่ก็เคยมาแล้ว จากห้าแยกมุ่งหน้าเกาะยอผ่านสะพานติณสูลานนท์ช่วงที่หนึ่งมา เราจะเห็นพระนอนองค์ใหญ่สีเหลืองทองอร่ามอยู่กลางสนามหญ้าสีเขียว ดูโดดเด่นและสะดุดตาที่เดียว ถึงแม้จะเป็นภาพที่เห็นแต่เพียงด้านหลังองค์พระ ก็คงไม่ยากเกินเดาว่าองค์พระนี้จะสวยงามเพียงใดหากได้มองจากด้านหน้า วัดพระนอนแหลมพ้อถือได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่สร้างตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2330 หรือประมาณในสมัยรัชกาลที่ 3 สถาปัตยกรรมที่นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของวัดคือพระอุโบสถที่สร้างในสมัยนั้น รวมทั้งโบสถ์ หอระฆัง และเจดีย์ ของวัดพระนอนแหลมพ้อ ถือว่าเป็นการสร้างตามพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ซึ่งจะไม่มีช่อฟ้า ใบระกา เป็นการสร้างตามแบบของศิลปกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยช่างพื้นเมืองภาคใต้ในยุคนั้น จึงเป็นงานพุทธศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ งดงาม ที่มีคุณค่าควรแก่การชื่นชม ศึกษา และอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของชาติให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมกันต่อไป องค์พระนอนวัดนี้นั้นเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2537 ประดิษฐานบนฐานที่ไม่สูงนัก อีกทั้งที่ตั้งวัดอยู่ใกล้ถนนเชิงสะพานติณสูลานนท์ฝั่งเกาะยอ จึงทำให้เป็นที่สะดุดตาของผู้ที่ขับรถผ่านไปมา ซึ่งนั้นก็รวมถึงพวกเราด้วย งานนี้ก็เลยถือโอกาสแวะมากราบนมัสการเพื่อความเป็นสิริมงคลกันหน่อย และก็เป็นที่น่าแปลกใจ(อย่างน้อยก็สำหรับพวกเรา)ที่เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวมาเลเซีย(จีน) มากราบท่านเจ้าอาวาสแล้วก็รับสายสิจน์ไปคนละเส้น หนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ว่าควักสตางค์ใส่ลงในบาตรเพื่อทำบุญตั้งหลายพัน อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้หากศรัทธา พวกเราเองก็กำลังจะเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วขอสายสิจน์เหมือนกันแต่ในมือนะกำตังค์คนละยี่สิบสามสิบก็เลยต้องถอยออกมาตั้งหลักกันใหม่พร้อมกับอดหัวเราะกันเองไม่ได้ แต่ในที่สุดพวกเราก็เข้าไปขอสายสิจน์จากหลวงพ่อมาคนละเส้นครับ พระอุโบสถนั้นถือว่าเก่าแก่ และดูแปลกตาพอสมควร มีการตกแต่งส่วนบันด้านหน้าเป็นช้างเอราวัณ จั่วด้านหน้าเป็นลายปูนปั้นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ สีสันของอุโบสถสีขาวๆดูสวยสะอาดตาให้ความรู้สึกที่แปลกตาเล็กน้อย เพราะเราจะคุ้นเคยกับสีแดงกับทองมากว่า พระอุโบสถและพระเจดีย์นั้นจัดเป็นโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรเรียบร้อยแล้ว และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งตอนที่เราไปนี้ทางวัดทาสีซะขาวจั๊วดูใหม่เกินอายุจริงมากมาย แต่ก็ดูจนสวยสมบูรณ์แบบที่เห็นนี้แหล่ะครับ นอกจากพระพุทธรูปปางปรินิพานที่งดงามแล้ว ที่บริเวณหน้าองค์พระนอนองค์นั้นเราจะเห็นมีรูปหล่อเหมือนพระ 5 องค์ ประกอบไปด้วย สมเด็จเจ้าเกาะยอ สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่ สมเด็จเจ้าพระโคะ(หลวงปู่ทวด) สมเด็จเจ้าจอมทอง และสมเด็จโต ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเกจิอาจารย์ที่ชาวสงขลานับถือเป็นอย่างมาก ซึ่งพระเกจิทั้ง 5 นี้หากใครไปลองศึกษาประวัติท่านจะพบว่าแต่ละองค์นั้นมีเรื่องเหนือธรรมชาติ และปาฎิหารย์มากมายที่เดียว นอกจากนี้ยังมีศาลาท้าวมหาพรหม ศาลาเจ้าแม่กวนอิม และพระสมเด็จเจ้าเกาะยอปางมารวิชัยด้วย ทั้งหมดนี้คงจะทำให้เข้าใจง่ายๆได้ว่าทำไมวัดแหลมพ้อนี้จึงเป็นที่เลื่อมใส่ศรัทราทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้คนที่เข้ามานมัสการกราบไหว้พระที่วัดแหลมพ้อนั้นต่างมีเหตุผลไม่เหมือนกัน แม่ค้าขายชาโอเลี้ยงเล่าให้เล่าฟังตอนที่เราไปซื้อน้ำป้าแกว่า หลวงพ่อท่าน(สมเด็จเจ้าเกาะยอ)ศักดิ์สิทธิ์นะ คนมาไหว้บนบาลขอกันเรื่อย ส่วนมากก็จะสมหวังกันทั้งนั้น ไม่ใช่แต่คนไทยนะ พวกมาเลย์(หมายถึงคนมาเลเซีย)ก็มาเที่ยวมาไหว้พระกันเยอะโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ เอาเป็นว่า..นั้นก็เป็นเรื่องเล่าจากแม่ค้าคนนึง โดยความเห็นพวกเรานั้น...การมาเที่ยวไหว้พระเป็นเรื่องของศรัทรา และความสบายอกสบายใจล้วนๆ จะขออะไร จะให้อะไร จะทำบุญเท่าไหร่ ทำไปเถอะครับ ขอให้ทำแล้วรู้สึกเป็นสุขเป็นอันใช้ได้ การเดินทาง พิกัดดาวเทียม
|