ส่งต่อให้เพื่อน |
ศาลาแก้วกู่ จังหวัดหนองคาย อำเภอเมือง ศาลาแก้วกู่ (วัดแขก) อุทยานเทวาลัย จังหวัดหนองคาย (สำนักพุทธมามกสมาคม จังหวัดหนองคาย) แหล่งท่องเที่ยว ห่างจากตัวเมืองหนองคายเพียง 3 กม. ด้วยความอลังการ งานสร้างด้วยความศรัทธา ยิ่งใหญ่ |
||||||||||||||||||||||||||||||
ศาลาแก้วกู่ สร้างโดยปราถนาให้ที่แห่งนี้เป็น เมืองอมตะแก้วกู่มหานิพพาน หรือดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เชื่อว่า ทุกศาสนาผสมผสานกันได้ ตั้งอยู่ ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ในพื้นที่ 42 ไร่ รูปปั้นทั้งเล็กใหญ่แล้วว่ากันว่ามีไม่น้อยหลักพัน ศาลาแก้วกู่ สร้างขึ้นโดย "ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์" หรือ "ปู่เหลือ" (พ.ศ.2476-2539) ซึ่งมีประวัติชีวิตและผลงานอัศจรรย์โดยย่อ ดังนี้ นางคำปลิว สุรีรัตน์ (พี่สาวคนโตของปู่เหลือ) ชาวหนองคาย แต่งงานได้ระยะหนึ้ง ฝันว่ามีชีปะขาวนำ นาคมรกตมามอบให้ แต่บอกว่าอีก 7 เดือนค่อยไปรับมาเป็นของตน ต่อมาแม่ตั้งท้องลุกคนที่เจ็ด ในวัยสูงอายุและหมดประจำเดือนแล้ว และคลอดเมื่ออายุครรภ์ได้ 7 เดือน ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนิมิตในฝัน นางคำปลิวและสามี จึงรับน้องชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่แรกเกิด ด.ช.บุญเหลือชอบเข้าวัดมาแต่เด็ก พออายุได้หกขวบนางคำปลิวเสียชีวิตลง สามีนางคำปลิวมีภรรยาใหม่ ด.ช.บุญเหลือจึงกลับไปอยู่กับ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มักขัดขวางห้ามปรามผู้ใหญ่ในทางบาปต่างๆ จึงไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง ครั้นอายุ 12 ปี ทนความกดดัน รอบข้างไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านรอนแรม ไปจนพบสำนักอาศรมแก้วกู่ในเขตแดนลาว และได้ฝากตัวศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมอยู่กับ พระมุนีที่นั่น จนอายุครบ 20 ปี พระมุนีจึงให้ออกจากสำนัก ไปจาริกแสวงบุญโปรดญาติโยมทั้งใกล้และไกล เมื่ออายุ 30 ปี จึงได้กลับมาปรนนิบัติตอบแทนคุณในวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่ ก่อนแม่สิ้นบุญในปี 2507 ได้มอบที่ดิน 8 ไร่ ณ บ้านเชียงควาน เมืองท่าเดื่อ เวียงจันท์ ไว้เป็นมรดก ปี พ.ศ. 2513 ปู่เหลือได้พัฒนาที่ดินดังกล่าวสร้างเป็น ปูชนียสถานเทวาลัยอย่างมหึมา พุทธศาสนิกชนทั้งในภาคพื้นยุโรป และเอเชียเลื่อมใสมาก แต่เมื่อเกิดเหตุวิกฤตในราชอาณาจักรลาวเมื่อปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ข้ามโขงมา และรวมกันจัดตั้งเป็น พุทธมามกสมาคมจังหวัดหนองคาย โดยกรมการศาสนารับรองให้ในปี พ.ศ. 2519 ปี ต้นปี พ.ศ.2527 ปู่เหลือถูกใส่ความและมีผู้ไปแจ้งตำรวจตั้งข้อหาฉกรรจ์ (ซึ่งทางสำนักขอสงวนไว้) ต้องอยู่ในเรือนจำจนถึงปลายปี 2529 เมื่อออกมาแล้วก็สร้างเทวรูปอีกมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ และทั้งขนาดที่สูงถึง ๓๓ เมตร เมื่อสร้างทั้งพุทธรูและเทวรูปถึง 209 ปางแล้ว ก็สร้างศาลาแก้วกู่หลังใหม่โดยรื้อหลังเก่า ( พ.ศ.2523 - 2538) ที่ทรุดโทรมลง ขณะก่อสร้างศาลาหลังใหม่ ปู่เหลือก็ล้มป่วยและต่อมาได้เสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม 2539 สานุศิษย์ได้นำผอบแก้วใส่ร่างของท่านไว้ตามความประสงค์ก่อนสิ้นชีวิต สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาเมื่อก้าวเข้าไปในมหัศจรรย์สถานแห่งนี้ นอกจากศาลาที่มีหลังคาเป็นรูปหมวก (หรือศิวลึงค์) อันเป็นสถานที่จุดธูปเทียนบูชาแล้ว ก็จะเห็นอาคารสูงหลายชั้นที่เรียกว่า ศาลาแก้วกู่ ใช้เป็นสำนักงาน จัดเก็บประวัติและข้าวของสารพัดชนิด หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมก็ได้ พื้นที่กลางแจ้งหรือที่หลายคนยกให้เป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง มีสิ่งที่เรียกว่า ปูชนียวัตถุและพุทธปูชนียสถานเทวาลัย คือรูปปั้นพิสดารพันลึกมากมาย อาทิ รูปปั้นปางพระอิศวร พระอุมาเสวยสุข ปางพระพุทธเจ้าเสด็จหนีออกบรรพชา ปางทรงศึกษาที่ธรรมะกับพระฤาษี ปางกามเทพ (คิวปิต) ปางฤาษีแก้วกู่อะธามา ปางพระขันทกุมาร ฯลฯ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก็จะทำพิธีอัญเชิญเทพเทวามาสถิต
นอกจากนี้แล้ว ยังมีรูปปั้นเล่าเรื่องต่างๆ อีกมาก ทั้งรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ รามเกียรติ์ ตำนานพื้นบ้านเช่นท้าวฮุ่งท้าวเจือง รูปปั้นราหูอมจันทร์ ฯลฯ จนถึงปัจจุบันเมื่อรวมรูปปั้นทั้งเล็กใหญ่แล้วว่ากันว่ามีไม่น้อยกว่าหลักพัน ที่ฐานของเทวรูปและรูปปั้นต่างๆ จะมีคำบรรยายจารึกไว้ซึ่งมีทั้งภาษาไทย ภาษาอีสาน และส่วนที่เรียกว่า ปริศนาธรรม บ้างคนนิยมมาเที่ยวชมที่นี่เหมือนมาเที่ยวชมภาพจำลองนรก-สวรรค์ และดินแดนรวมแห่งทุกศาสนา
หากมีจังหวะและโอกาสแล้ว ควรไปดูให้เห็นกับตา โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ศิลปะและผู้เชี่ยวชาญทางประติมานวิทยาทั้งหลาย คงได้มุมมองนอกตำราที่คาดไม่ถึงเพิ่มขึ้นอักโข
วันเปิดทำการ : ทุกวัน
การเดินทาง แผนที่ |